ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
หมวดที่ ๑
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ ๑ มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิวัดเงิน (STF) ย่อว่า ม.ง เรียกภาษาอังกฤษว่า Silver Temple Foundation ย่อว่า STF
ข้อ ๒ เครื่องหมายของมูลนิธินี้ คือ
เป็นรูปองค์พระพิฆเนศทรงเครื่องล้านนา ปางนาคปรก ๙ เศียร ในวงกลม ตัวหนังสือภาษาอังกฤษใต้ฐานพระพิเนศว่า STF, ชื่อมูลนิธิเส้นรอบวงกลมนอกเป็นภาษาไทยว่า มูลนิธิวัดเงิน (STF) และอังกฤษว่า Silver Temple Foundation
ข้อ ๓ สถานที่ตั้งมูลนิธินี้ คือ ภายในพื้นที่วัดศรีสุพรรณ เชียงใหม่ เลขที่ ๑๐๐ ถนนวัวลาย ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
หมวดที่ ๒
วัตถุประสงค์
ข้อ ๔ วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
๔.๑ เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม งานช่างสิบหมู่ภูมิปัญญาล้านนา
๔.๒ เพื่อดำเนินการสร้างอุทยานการเรียนรู้ช่างสิบหมู่ภูมิปัญญาล้านนาและส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้ภูมิปัญญาล้านนา เชิงเกษตรอินทรีย์ เชิงแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนโบราณครบวงจร และ สมุนไพร
๔.๓ เพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่ผู้ยากไร้ ขาดแคลน ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ที่สนใจเรียนรู้ช่างสิบหมู่ล้านนา เป้นอาชีพสร้างความมั่นคงแก่ชีวิต
๔.๔ เพื่อเป็นทุนกิจกรรมพัฒนาองค์ความรู้แก่บุคลากร ครูภูมิปัญญา กิจกรรมศึกษาดูงาน กิจกรรมไหว้ครูประจำปี และ กิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องงานด้านอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาล้านนา
๔.๕ เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
๔.๖ ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
หมวดที่ ๓
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ ๕ ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ
๕.๑ เงินสด จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน)
๕.๒ ที่ดินโฉนดเลขที่……………………………………………………………………
รวมเป็นราคาทรัพย์สินทั้งสิ้น………………………….บาท (…………………………………………..)
ข้อ ๖ มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้
๖.๑. เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด
๖.๒ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
๖.๓ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
๖.๔ รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
๖.๕ รายได้อื่นจากการดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
หมวดที่ ๔
คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ ๗ กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
๗.๑ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์
๗.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
๗.๓ ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ข้อ ๘ กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
๘.๑ ถึงคราวออกตามวาระ
๘.๒ ตาย หรือ ลาออก
๘.๓ ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับ ข้อ ๗
๘.๔ เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ ๕
การดำเนินงานของคณะกรรมการของมูลนิธิ
ข้อ ๙ มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๗ คน แต่ไม่เกิน ๙ คน
ข้อ ๑๐. คณะกรรมการมูลนิธิ ตามข้อ ๙ ประกอบด้วยตำแหน่ง ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เหรัญญิก เลขานุการมูลนิธิ และกรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ตามจำนวนที่คณะกรรมการมูลนิธิเห็นสมควรตามข้อบังคับข้อ ๙
ข้อ ๑๑. วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติ ดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน แต่งตั้งกรรมการมูลนิธิและกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ ๑๒. กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๗ ปี
ข้อ๑๓. การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของ
ที่ประชุม
ข้อ ๑๔. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ ๑๕. ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไปจนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนการรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่
หมวดที่ ๖
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๖. คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้ ข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๑๖.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินการตามนโยบายนั้น
๑๖.๒ ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ของมูลนิธิ
๑๖.๓ เสนอรายงานกิจกรรม รายงานการเงิน และบัญชีรายรับ – รายจ่าย ต่อนายทะเบียน
๑๖.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
๑๖.๕ ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
๑๖.๖ แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง หรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๖.๗ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
๑๖.๘ เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
๑๖.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๖.๑๐ แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ ๑๖.๗, ๑๖.๘ และ ๑๖.๙ ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุม และที่ปรึกษาตามข้อ ๑๖.๙ ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น
ข้อ ๑๗. ประธานกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
๑๗.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๓ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสารข้อบังคับและสรรพหนังสือ อันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือกรรมการมูลนิธิได้รับมอบหมายให้ทำการแทน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
๑๗.๔ ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๘. ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ ๑๙. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ ๒๐. เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประชุมของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไปรักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ
ข้อ ๒๑. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชี และเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ ๒๒. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ ๒๓ คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่น ๆ ของมูลนิธิได้
หมวดที่ ๗
อนุกรรมการ
ข้อ ๒๔. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นคณะอนุกรรมการประจำ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษคราวใดก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการและคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ข้อ ๒๕. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนคณะอนุกรรมการประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
๒๕.๑ อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
๒๕.๒ อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
หมวดที่ ๘
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๒๖. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุก ๆ ปี ภายในเดือนสิงหาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ ๒๗. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือเมื่อกรรมการมูลนิธิ ตั้งแต่ ๒ คน
ขึ้นไป แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน ขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
ข้อ ๒๘. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเอง และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
องค์ประชุมให้ใช้ข้อ ๒๖. บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๒๙. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็น
ผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๓๐. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธาน
ในที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือ
ผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
หมวดที่ ๙
การเงิน
ข้อ ๓๑. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทนมีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านบาท) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้ แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ ๓๒. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท (สามหมื่นบาท)
ข้อ ๓๓. เงินสดของมูลนิธิ หรือเอกสารสิทธิ ต้องนำไปฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาล
ให้การค้ำประกัน หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิเห็นสมควร
ข้อ ๓๔. การสั่งจ่ายเงินของมูลนิธิโดยเช็ค จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนกับเลขานุการหรือเหรัญญิก ลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ ๓๕. การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกผล
อันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิ และเงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิหรือรายได้อื่นจากการดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
ข้อ ๓๖. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน บัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ ๓๗. ให้คณะกรรมการมูลนิธิจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมา เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี
หมวดที่ ๑๐
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
ข้อ ๓๘. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ จะกระทำได้ โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม
หมวดที่ ๑๑
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ ๓๙. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการหรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ วัดศรีสุพรรณ อำเภอเมืองเชียงใหม่
ข้อ ๔๐. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลง โดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้
๔๐.๑ เมื่อมูลนิธิได้รับจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลจากนายทะเบียนแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน
๔๐.๒ เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
๔๐.๓ เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ
๔๐.๔ เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด
หมวดที่ ๑๒
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ ๔๑. การตีความในข้อบังคับมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ ๔๒. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้
ข้อ ๔๓. มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง
พระครูพิทักษ์สุทธิคุณ (สุพล คิดข้างบน)
ประธานกรรมการมูลนิธิวัดเงิน